ตำนานเหล็กไหล ธาตุอมตะที่ไม่มีวันตาย

ตำนานเหล็กไหล

ตำนานเหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง เขาเอเวอเรสต์

แหล่งกำเนิดของเหล็กไหล

ย้อนกาลเวลาไปนานแสนนานในสมัยอสงไขยแสนกัลป์กาลก่อน มหาฤาษีกไลโกษฐ์ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ เป็นผู้เพ่งฌาณเรียกแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแข็งตัวได้ หลอมเหลวได้สลายตัวได้และรวมตัวได้มีลักษณะเหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก ท่านเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำตั้งแต่สมัยแอตแลนติสซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในยุคนั้น แต่ได้ล่มสลายหายไปจากแผนที่โลก เชื่อกันว่าทวีปนี้ได้จมหายไปในมหาสมุทรเมื่อคราวน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และโนอาได้เป็นผู้สร้างเรือใหญ่หนีน้ำท่วม ตามเรื่องราวที่ได้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณ นอกจากนี้ยังมีท่านมหาฤาษีกัสสปและเหล่ามหาฤาษีผู้ทรงฌาณสมาบัติบรรลุ อภิญญาสูงสุด ท่านก็เป็นผู้ที่ได้เพ่งฌาณเรียกแร่ดังกล่าวมารวมกันที่ผนังถ้ำ เพื่อเป็นที่พำนักของวิญญาณได้เล็งเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณว่า ภายใต้แผ่นดินนี้ลึกลงไปประมาณ 3 กม. มีแหล่งรวมของธาตุกายสิทธิ์มากมายหลายชนิด หล่อหลอมเหลวปะปนรวมกันอยู่ในใจกลางโลกซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิทยาศาสตร์ ว่า “ลาวา” นั่นเอง 

แต่ภายใต้หินลาวาเหล่านั้นมี “แร่เหล็ก” ชนิดหนึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ และเยี่ยมยอดเหนือกว่าเหล็กชนิดอื่น มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่านดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าวขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์ มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษี จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูปเคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือพลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเองด้วยมโนมัยฤทธิ์ เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลย ทีเดียวถือว่าเป็นการสละชีวิตบูชาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิความเชื่อถือ ฤาษีตนอื่นเห็นเข้าก็เอาแบบอย่าง เพราะถือว่าเป็นกุศลสูงสุดที่ได้เอาดวงจิตเข้าร่วมปรมาตมันของพระผู้เป็นเจ้าโดยทางลัด  ต่อมาฤาษีอื่นๆเห็นว่าการถอดจิตเข้าในเทวรูปนั้นมีมากแล้ว น่าจะเข้าสิงสู่ในรูปแบบอื่นๆที่จะยังคงขลังและศักดิ์สืทธิ์เหมือนเดิม เพื่อให้สาธุชนได้ไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สมบัติ

ดังนั้นฤาษีผู้บำเพ็ญญาณอื่นๆที่บำเพ็ญบารมีถึงขั้นพรหมในถ้ำต่างๆจึงได้ถือเป็นแบบอย่างสืบทอดกันมาก็จะทำการเพ่งฌาณเรียกเอาแร่ธาตุกายสิทธิ์ดังกล่าวให้ไหลมารวมตัวกันเป็นสังขารอมตะ สำหรับวิญญาณซืมสิงเมื่อกายเนื้อได้แตกดับทำลายลงไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ตามถ้ำต่างๆจึงมีเหล็กไหลซุ่มซ่อนแฝงเร้นกายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นต้นแบบของเหล็กไหลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จนในกาลต่อมาได้เป็นคตินิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนมยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธรูปนั้นลอยไปตามน้ำเห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชาได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น

ตำนานเหล็กไหล

เหล็กไหล ธาตุกายสิทธิ์

      คำว่า”ธาตุกายสิทธิ์”นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาลอันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจนกลับซืมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า “เหล็กไหล” จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

  1. ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น
  2. ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่าง ๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี
  3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่างๆไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่างๆจากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช
  4. ปรอท หรือธาตุอื่น ๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่างๆได้

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่งๆขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า “เหล็กไหล” ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่างๆกันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

ดังนั้น “เหล็กไหล” จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มีประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน “เหล็กไหล” ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า “ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี”

ตำนานเหล็กไหล

ต้นตำนานเหล็กไหลในยุคปัจจุบัน

 เรื่องราวความเป็นไปของเหล็กไหลค่อนข้างสลับซับซ้อนและยากต่อการเสาะแสวงหา นอกจากการชี้แนะของครูบาอาจารย์ รุ่นก่อนๆที่ท่านได้ศึกษาและมีประสพการณ์ โดยเฉพาะตำนานเหล็กไหลเหล่านี้ ได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาด้วยวาจาจนเมื่อ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้เปิดเผยเรื่องราวอันมหัศจรรย์นี้จากการบอกเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณถ่ายทอดจากประสพการณ์ออกเผยแพร่เป็นตำนานเรื่องเล่าขาน จนพระอาจารย์ สิทธา เชตวัน นักเขียนนวนิยาย และเรื่องราวที่ลี้ลับทางจิตอภิญญาผู้มีบารมีธรรมและญาณหยั่งรู้ชั้นสูง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเพศบรรพชิตที่กำลังแสวงหามรรคผลในปัจจุบันได้เคยกล่าวถึงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ว่า“พระธุดงค์ส่วนใหญ่ท่านจะแสวงหามรรคผลนิพพาน แต่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ไม่ เอาอย่างนั้น จะเอาเหล็กไหลลูกเดียว ช่างกล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น”เพราะผู้ที่จะรู้เรื่องราว “เหล็กไหล” ส่วนใหญ่จะเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ผ่านการวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรเป็นผู้ทรงญาณเก่งกล้าในพุทธาคม จึงจะมีโอกาสได้สัมผัสหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ตลอดจนมีเหล็กไหลบางประเภทอยู่ในครอบครอง 

      หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านศึกษาเรื่องเหล็กไหลมาจาก หลวงพ่อดี วัดพระไต นครเวียงจันทร์ ประเทศลาว อายุ 90 ปีเศษ แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุ 60 แต่ท่านเชี่ยวชาญในเรื่อง เหล็กไหลไพรดำ เล่นแร่แปรธาตุได้ชวนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ศึกษาเรื่องเหล็กไหล โดยออกธุดงค์ไปทาง ภูเขาควาย เข้าไปถึงเขมรและญวนจนได้รับความรู้เป็นอย่างดี จึงย้อนกลับประเทศไทยออกธุดงค์ไปตามป่าเขาจากเหนือจรดใต้ของประเทศทำให้ท่านได้ประสพการณ์เรื่องของ ธาตุกายสิทธิ์ และเหล็กไหลมากมาย

      “เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามเป็นบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดเป็นวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา” ดังคำพังเพยของคนโบราณที่ได้ให้ข้อคิดสะกิดเตือนลูกหลานเอาไว้ ไม่ให้สนใจในเรื่องเหล่านี้เพราะเป็นช่องทางหากินของเหล่ามิจฉาชีพ ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงแบบ 18 มงกุฎ ใช้ไสยศาสตร์และมายากลหลอกลวงหากินต้มประชาชน ผู้รู้ไม่ทันก็จะเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากได้ 

 เป็นเรื่องที่เบื้องบนต้องการเปิดเผยความเร้นลับของ เหล็กไหล นี้กันแน่ เพราะเมื่อ 30 ปี ก่อนทันตแพทย์วิชิต ตริชอบ ได้เปิดเผยเรื่องราวของเหล็กไหลในแง่ การผจญภัย และพิธีกรรมตัดเหล็กไหล ผ่านทางนักเขียนนามอุโฆษ “พนมเทียน” ในหน้าหนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” ทำให้คนอ่านทั่วประเทศติดกันงอมแงมทีเดียว เคยมีคนถามคุณหมอวิชิตว่า “เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่า” คำตอบก็คือ “ผมได้เห็นเหล็กไหลจริงๆดังที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง เหล็กไหลทั้ง 4 เล่มนั่นแหละ แต่ไม่ กล้ายืนยันว่า เหล็กไหล ที่แท้จริงมีอยู่ในโลกนี้จริงๆหรือไม่ มันยังอึมครึมลึกลับอยู่”เพราะอาจจะเป็นมายาศาสตร์ชั้นสูง ที่ผู้สำเร็จญาณสมาบัติชั้นสูง หรือสำเร็จอภิญญาใช้ฤทธิ์อำนาจสะกดจิตให้เห็นตามที่ต้องการ หรือใช้มายากลระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะเหล็กไหลที่ตัดมาทั้งหมดนั้น ในที่สุดก็ได้ล่องหนหายไปอย่างลึกลับเช่นกัน

      แม้ในปัจจุบัน เรื่องราวของการใช้มายากล ในผู้ที่แอบอ้างเป็นพระสงฆ์ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้เช่นกัน การที่อวดแอบอ้างเป็นผู้มีฤทธิ์อภิญญา ใช้ทีมงานร่วมมือกันหลายคน แสดงการปรากฏตัวของ “เปรต” การเคลื่อนย้ายวัตถุข้ามมิติ การย่นระยะทาง เสกเรียกของกลางอากาศ แล้วทำไมจะใช้ขบวนการสร้างเรื่องราวของเหล็กไหลให้ดูพิสดารสมจริงไม่ได้ 

      เรื่องราวของตำนานเหล็กไหลในที่นี้ เป็นข้อมูลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้รับมาจากครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ที่เหมือนกันก็มี ที่ขัดแย้งกันก็มี ตามภูมิความรู้ภูมิธรรมของแต่ละท่าน ตลอดจนประสพการณ์จากการปฎิบัติและศึกษาจากของจริงตามป่าตามเขามานานนับสิบปี

 

เครดิต : themysteriousth.com

ติดตามข่าวสาร : เรื่องลี้ลับ เรื่องหลอน