ตำนานยักษ์วัดแจ้งยักษ์วัดโพธิ์ ตำนานเรื่องเล่าหลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียน ที่เล่าปากต่อปากกันมาว่าบริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้น เป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์” โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพ
“ยักษ์วัดแจ้ง” มี ๒ ตนคือ ยักษ์ด้านเหนือกายสีขาว มีชื่อว่า “สหัสเดชะ” ส่วนยักษ์ด้านใต้กายสีเขียว มีชื่อว่า “ทศกัณฐ์” ยืนเฝ้าที่ประตูซุ้มยอดมงกุฎทางเข้าพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน

ประวัติความเป็นมาของ ตำนานยักษ์วัดแจ้งยักษ์วัดโพธิ์
ยักษ์” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งมีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดีเป็นความเชื่อของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยเชื่อว่ายักษ์มีหลายระดับขึ้นอยู่กับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูงจะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงามปกติไม่เห็นเขี้ยวเวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมายักษ์ชั้นกลางส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของยักษ์ชั้นสูง ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่ากลัว ผมหยิกตัวดำผิวหยาบนิสัยดุร้ายจะเห็นได้ว่าในวัดวาอารามต่างๆ มักจะมียักษ์มาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นยักษ์แบกพระเจดีย์ในวัดพระแก้ว รูปปั้นยักษ์แบกองค์พระปรางค์ในวัดแจ้ง หรือยักษ์วัดโพธิ์ เป็นต้น
ซึ่งตามตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ให้ลดทิฐิมานะยักษ์ที่ได้ฟังและเข้าใจในพระธรรม จึงได้กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายถึง ผู้แบกสรวงสวรรค์ และทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสถูปสถานอาคารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคงและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา
“ยักษ์วัดโพธิ์” มีเพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือ ยักษ์กายสีแดง, ยักษ์กายสีเขียว, ยักษ์กายสีเทา และยักษ์กายสีเนื้อ
ตำนานเรื่องเล่า หลายคนคงเคยได้ยินตำนานกำเนิดท่าเตียนที่เล่าปากต่อปากกันมาว่า บริเวณท่าเตียนอันเป็นพื้นที่โล่งเตียนนั้นเป็นผลจากการต่อสู้ของ “ยักษ์วัดแจ้ง” กับ “ยักษ์วัดโพธิ์”โดยมี “ยักษ์วัดพระแก้ว” เป็นผู้ห้ามทัพตำนานกำเนิดท่าเตียนมีว่า ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้ามนั้น ทั้ง ๒ ตนเป็นเพื่อนรักกันวันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงินจึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง พร้อมทั้งนัดวันที่จะนำเงินไปส่งคืน เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดโพธิ์กลับไม่ยอมจ่ายหนี้เบี้ยวเอาเสียดื้อๆ
ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้ ดังนั้น ในที่สุดยักษ์ทั้ง ๒ ตนจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กันแต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาลของยักษ์ทั้ง ๒ ตน เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายลงหมดหลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ยักษ์ทั้งสองประลองกำลังกันนั้น
จึงราบเรียบเป็นหน้ากลองกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ซึ่งตามตำนานเรื่องเล่าดังกล่าวยังสรุปไม่ได้ว่า ยักษ์วัดไหนเป็นฝ่ายชนะ ครั้นเมื่อพระอิศวร (พระศิวะ)ได้ทราบเรื่องราวการต่อสู้กันทำให้บรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง ๒ กลายเป็นหินแล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ วัดโพธิ์และให้ยักษ์วัดแจ้ง ทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหาร วัดแจ้งเรื่อยมา ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน” เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อคาดคะเนจากตำนานการต่อสู้ยักษ์ทั้งสามน่าจะมีขนาดใกล้เคียงกันหลายคนเลยเข้าใจผิดคิดว่า “ลั่นถัน นายทวารบาล” หรือตุ๊กตาสลักหินรูปทหารนักรบจีนขนาดใหญ่ที่ยืนถือศาสตราวุธเฝ้าซุ้มประตูเข้า-ออกในเขตพุทธาวาสของวัดพระเชตุพนฯ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมดรวม ๓๒ ตัวนั้น คือ ยักษ์วัดโพธิ์ แต่โดยแท้จริงแล้ว “ยักษ์วัดโพธิ์” มีเพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือยักษ์กายสีแดง, ยักษ์กายสีเขียว, ยักษ์กายสีเทาและยักษ์กายสีเนื้อประติมากรรมรูปร่างเป็นยักษ์ไทยเขี้ยวแหลมโง้ง มือทั้งสองกุมไม้กระบองเป็นอาวุธ ซึ่งทั้งหมดมีลักษณะคล้ายกับยักษ์ในวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ เช่นเดียวกับ “ยักษ์วัดพระแก้ว” หากแต่มีขนาดเล็กกว่ามากเล็กจนสามารถตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป(หอไตรจตุรมุข)ได้

ยักษ์วัดพระแก้ว” นายทวารบาลเฝ้าประตู ๒ ตน รูปยักษ์ยืนในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ส่วนประวัติการสร้างเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ได้มีการโปรดเกล้าฯให้รื้ออสูรที่ยืนเฝ้าประจำประตูทั้ง ๔ ประตูของวัดออกไปแล้วนำ “ลั่นถัน นายทวารบาล” หรือรูปตุ๊กตาสลักหินรูปทหารนักรบจีนขนาดใหญ่มาตั้งแทนกาลนี้ได้โปรดเกล้าฯให้หล่อรูปยักษ์ปูนปั้นขนาดเล็กสูงประมาณ ๑๗๕ เซนติเมตร จำนวน ๘ ตน ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑปทั้ง ๔ ด้าน ด้านละ ๑ คู่ เพื่อให้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาหอพระไตรปิฎก
(พระมณฑปหรือหอไตรจตุรมุข ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก เรียกว่าหอพระไตรปิฎกก็ได้)เมื่อครั้งทำระเบียงพระมหาเจดีย์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป ออกไป ๒ ซุ้ม
ปัจจุบันจึงปรากฏรูปยักษ์วัดโพธิ์เหลืออยู่เพียง ๒ คู่ ๔ ตนเท่านั้น คือ ยักษ์กายสีแดง มีชื่อว่า “พญาแสงอาทิตย์” กับ ยักษ์กายสีเขียว มีชื่อว่า “พญามัยราพณ์” ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ยักษ์กายสีเทา มีชื่อว่า “พญาขร” กับ ยักษ์กายสีเนื้อ มีชื่อว่า “พญาสัทธาสูร” ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนซุ้มประตูทางเข้าฯ ด้านที่รื้อออกไป ๒ ซุ้มนั้น
แต่เดิมเป็นยักษ์มีชื่อว่า “สหัสเดชะ” กับ “ทศกัณฐ์” ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและยักษ์มีชื่อว่า “อินทรชิต” กับ “สุริยาภพ” ตั้งเก็บไว้ในตู้กระจกหน้าซุ้มประตูทางเข้าฯ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร คนโบราณเชื่อว่ายักษ์ที่ยืนเฝ้าซุ้มประตูมีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย

จึงมีหน้าที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมีค่าที่อยู่ด้านในสำหรับ “ยักษ์วัดแจ้ง” นั้น ก็ถือว่าเป็นยักษ์ชื่อดัง ที่ทุกคนรู้จักกันดีจากวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ นั่นก็คือยักษ์ทศกัณฐ์ ด้านหน้า “ประตูซุ้มยอดมงกุฎ” ก่อนเข้าสู่พระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม มีพญายักษ์หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ยักษ์วัดแจ้ง” ยืนเฝ้าอยู่ ๒ ตน รูปร่างเป็นยักษ์ไทยตัวใหญ่ เขี้ยวแหลมโง้ง ตัวมีขนาดใหญ่กว่ายักษ์วัดโพธิ์ มือทั้งสองกุมไม้กระบองสีขาวเป็นอาวุธ ยืนอยู่บนแท่น มีความสูงประมาณ ๓ วา
โดยยักษ์ด้านเหนือกายสีขาวมีชื่อว่า “สหัสเดชะ” ยักษ์ด้านใต้กายสีเขียวมีชื่อว่า “ทศกัณฐ์” ยักษ์ทั้งสองตนเป็นยักษ์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายและเครื่องแต่งตัวของเดิมสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทำหน้าที่เป็น “นายทวารบาล” ตามคติความเชื่อเทพผู้พิทักษ์รักษาประตู เพื่อให้เทพได้ปกปักรักษาสถานที่สำคัญทางศาสนา ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการปั้นรูปยักษ์ยืนในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในเวลาต่อมาในส่วนของ “ยักษ์วัดพระแก้ว” นั้น มีทั้งหมดรวม ๑๒ ตนเนื่องจากประตูวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มี ๗ ประตู โดย ๖ ประตูมีรูปยักษ์ยืนปูนปั้นกายสูงใหญ่ถึง ๖ เมตร ประดับเคลือบสีประณีตงดงาม เป็น “นายทวารบาล” ยืนเฝ้าอยู่ประตูละ ๒ ตน ยักษ์มีชื่อเรียกต่างกันไป
ซึ่งแม้จะคุ้นตาแต่ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักว่าเป็นยักษ์อะไร ยักษ์ทั้ง ๖ คู่ เหล่านี้ต่างก็มีที่มาจากวรรณคดีสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่คู่แรกที่ยืนเฝ้าประตูพระฤๅษี มีชื่อว่าจักรวรรดิ และอัศกรรณมารา คู่ที่ยืนเฝ้าประตูเกยเสด็จ มีชื่อว่า สุริยาภพ และอินทรชิต คู่ที่ยืนเฝ้าประตูหน้าวัวมีชื่อว่า มังกรกัณฐ์ และวิรุฬหก คู่ที่ยืนเฝ้าประตูวัดพระแก้วมีชื่อว่า ทศคีรีธร และทศคีรีวัน คู่ที่ยืนเฝ้าประตูเกยเสด็จ มีชื่อว่า ทศกัณฐ์ และสหัสเดชะ
และคู่สุดท้ายที่ยืนเฝ้าประตูสนามไชยมีชื่อว่า มัยราพณ์และวิรุฬจำบังประตูที่ ๗ ประตูสุดท้าย คือประตูวิหารยอด อยู่ตรงข้ามกับวิหารยอดเป็นประตูเดียวที่ไม่มีรูปยักษ์ทวารบาล มีแต่ภาพยักษ์และภาพวานรเขียนไว้เท่านั้น
เครดิต : themysteriousth.com
ติดตามข่าวสาร : เรื่องลี้ลับ เรื่องหลอน