พีระมิด สิ่งก่อสร้างที่โบราณมากๆ และยิ่งใหญ่มาก มหาพีระมิดกีซา หรือ The Great Pyramid of Giza อายุกว่า 5,000 ปี ในประเทศอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องความสูง ความใหญ่ การก่อสร้างที่ต้องอาศัยการคำนวนอย่างละเอียดยิบ และปริมาณของคนงานที่จะต้องค่อยๆ ประกอบหินแต่ละก้อนที่หนักเป็นตันๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นอย่างเดียวที่คนในยุคนี้ยังจินตนาการไม่ออกเลยว่า ถ้าได้ไปเห็นกับตาตัวเองตอนนั้นมันคงเป็นมหกรรมการสร้างที่น่าตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย ด้วยความน่าทึ่งขนาดนี้จึงทำให้ที่นี่เป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณด้วย แต่กว่าจะเป็นสุดยอดพีระมิดในหมู่พีระมิดบนโลกนี้ มีเรื่องราวต่างๆ นานาแทรกอยู่ในหินทุกๆ ก้อน ทุกชั้นของมันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่การประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์ฟาโรห์ มันมีความเกี่ยวข้องทั้งเรื่องความเชื่อ วิถีชีวิต อารยธรรม ไปจนถึงเรื่องของหมู่ดาวบนฟากฟ้า ถ้าอยากรู้เรื่องของมหาพีระมิดแห่งนี้มากขึ้นแล้ว เราไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ

พีระมิด จุดเริ่มต้นของการสร้างพีระมิด
ในประเทศอียิปต์นั้นมีพีระมิดกระจายอยู่มากมายทั่วประเทศนับ 100 แห่ง หน้าที่หลักของมันก็คือเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ หรือ ฟาโรห์ นั่นเองค่ะ และเพื่อให้แน่ใจว่าองค์ฟาโรห์จะมีข้าวของเครื่องใช้ และทรัพย์สินเงินทองที่เพียงพอสำหรับโลกหน้าอย่างสุขสบาย นอกจากนั้นยังรวมถึงอาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี อาวุธ อุปกรณ์ล่าสัตว์ ไปจนกระทั่งรถศึกเทียมม้า
สุสานในช่วงยุคแรกๆ ของชาวอียิปต์นั้น จะยังไม่ใช่ทรงพีระมิดแบบที่เราเห็นๆ กัน แต่จะแค่ขุดหลุมลงไปเป็นทรงสี่เหลี่ยม หรือวงรี แล้วค่อยฝังศพพร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ลงไป กระทั่งการมาของการสร้างสุสานแบบ “มาสตาบา” (Mastaba) พีระมิดทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ซึ่งจะสามารถสร้างห้องไว้ภายในได้มากขึ้น เก็บของได้มากขึ้น จากนั้นจึงเป็นต้นแบบให้เกิดการสร้างพีระมิดแบบขั้นบันไดในยุคต่อๆ มา

ความเชื่อของคนอียิปต์ การทำมัมมี่
ชาวอียิปต์นั้นมีความเชื่อว่า คนที่ตายไปแล้วจะกลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ เหมือนดวงอาทิตย์ที่หายลับขอบฟ้าในยามเย็น และกลับขึ้นมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ฟาโรห์ทุกพระองค์ก็ล้วนถือว่าเป็นโอรสแห่งสุริยเทพที่ถูกส่งมาปกครองโลกมนุษย์ หลังจากฟาโรห์สิ้นพระชนม์ลงแล้ว พระองค์ก็จะไปประทับอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า “Duat” (ดุ-อัต) หรือโลกหลังความตาย ซึ่งมีเพียงผู้ที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจะเดินทางมาอาศัยอยู่ยังโลกนี้ได้ และมีเพียงฟาโรห์เท่านั้นที่จะสามารถออกจากโลกหลังความตายกลับมาจุติใหม่ในร่างเดิมที่จัดเตรียมไว้อย่างดี หรือก็คือ “มัมมี่” นั่นเองค่ะ (แต่ในสมัยต่อๆ มาการทำมัมมี่ก็แพร่หลายสู่ขุนนาง ชนชั้นสูง สามัญชน แม้กระทั่งสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าอย่างเช่น แมว ด้วย จึงมีการทำมัมมี่กันเป็นปรกติ ไม่ใช่เฉพาะแค่ฟาโรห์)
ส่วนการที่ต้องเก็บรักษาร่างไว้ในรูปแบบของการทำมัมมี่นั้น ก็เพราะเมื่อตายแล้ว วิญญาณหรือ “คา” (ka) เป็นสิ่งที่ไม่ดับสูญ จะกลับเข้าร่างฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่หากร่างสูญหาย หรือถูกทำลายไปก็เหมือนไม่มีภาชนะให้ “คา” กลับไปได้นั่นเอง ไม่ใช่แค่ร่าง ยังรวมถึงอวัยวะภายในต่างๆ ที่จะถูกเอาออกมาจากร่าง แล้วเก็บรักษาไว้ในภาชนะอย่างดี ฝังไว้ในที่เดียวกันกับศพ
หายองค์ฟาโรห์ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก็พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างยิ่งใหญ่ได้ทันทีเลย

การเชื่อมโยงของกลุ่มดวงดาวที่อยู่บนฟ้า
แม้เรื่องการสร้างจะยังคงถกเถียงกันอยู่ แต่ส่วนที่นักอียิปต์วิทยาค่อนข้างจะมั่นใจมากๆ ว่าต้องใช่แน่ๆ ก็คือชาวอียิปต์นั้นจะต้องใช้ความรู้ด้านดาราศาสตร์ มาออกแบบมหาพีระมิดแห่งกีซ่าด้วยอย่างแน่นอน เพราะตำแหน่งมหาพีระมิดทั้ง 3 องค์ แห่งกีซ่านั้น ขนานกับทิศทั้ง 4 ตามเข็มทิศอย่างแม่นยำ สมัยนั้นยังไม่มีเข็มทิศ ดังนั้นทางเดียวที่จะสร้างได้ ก็จะต้องอาศัย “ดวงดาว” นั่นเอง โดยใช้ดาวเหนือเป็นจุดอ้างอิง แล้วจดบันทึกเส้นทางของดวงดาวต่างๆ เอาไว้
ซึ่งหนึ่งในแนวคิดที่ถูกเสนอเกี่ยวกับมหาพีระมิดแห่งกีซ่า (แต่นักอียิปต์วิทยาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้) นั่นคือพีระมิดทั้ง 3 องค์ อาจจะตั้งขึ้นเลียนแบบ “เข็มขัด” ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) ซึ่งก็เป็นหนึ่งในกลุ่มดาวที่สำคัญกับชาวลุ่มน้ำไนล์มาก
อีกทฤษฎีก็คือ ตำแหน่งการเรียงกันของพีระมิดทั้ง 3 นั้นอาจเป็นเรื่องของสภาพภูมิประเทศในบริเวณที่ราบกีซ่า บริเวณปลายสุดด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพีระมิดทั้ง 3 องค์ตั้งอยู่ชิดกับขอบสันเขา เมื่อพีระมิดที่ได้รับการออกแบบให้ขนานกับทิศทั้ง 4 อย่างแม่นยำมาตั้งอยู่ในบริเวณนี้จึงทำให้มันต้องเรียงตัวเป็นแนวทแยงมุมตามแนวสันเขาไปด้วย
จะเห็นได้ว่ายิ่งมีการค้นพบหลักฐานใหม่ขึ้นมา ก็จะมีคำถามใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่นกัน เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่แม้จะถูกค้นพบมานานแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวที่รอค้นหาต่อไปเรื่อย ๆ
เครดิต : http://54.255.163.210
ติดตามเรื่องลี้ลับ : @UFA365v3