
ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นใน จังหวัดหนองคาย และ จังหวัดบึงกาฬ โดยเฉพาะที่หนองคายนั้นเรียกได้ว่ามีนักท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่าแสนคน สร้างรายได้สะพัดกว่า 100 ล้านบาท มีการจัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่สนุกสนานทีเดียว แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของคืนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องราวกล่าวขานที่เกี่ยวกับตำนานพญานาคต่างหาก บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฎการณ์ที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะของการเกิดลูกไฟ ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นจากกลางลำน้ำโขงสู่อากาศ ขนาดของลูกไฟมีตั้งแต่ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ กระทั่งขนาดเท่าฟองไข่ไก่ พุ่งสูงประมาณ 1-30 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที แล้วหายไปโดยไม่มีการโค้งลงมา
ปรากฏการณ์นี้ เกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปีจะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม แต่จุดที่ประชาชนเชื่อถือกันว่าเป็นเมืองหลวงของพญานาคนั้น อยู่ที่แก่งอาฮง จังหวัดบึงกาฬ หรือที่เรียกกันว่า “สะดือแม่น้ำโขง” นั่นเอง เป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง ซึ่งชาวประมงเคยใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไปในหน้าแล้งแล้ววัดดูปรากฏว่ามีความลึก 99 วา (ประมาณ 198 เมตร) ชนเผ่าลึกลับในบราซิล
ความเชื่อและตำนาน บั้งไฟพญานาค พญานาคแห่งแม่น้ำโขง
พญานาคนั้นอาศัยอยู่ในเมืองบาดาล มีนิสัยดุร้าย มีพิษร้ายแรงในตัวถึง 64 ชนิด อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล ในสมัยพุทธกาล มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธา จึงเลิกนิสัยดุร้าย แล้วแปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่ติดที่เป็นเป็นสัตว์เดรัจฉานจึงไม่สามารถบวชได้ นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน และปวารณาตนเป็นพุทธมามกะสืบไป
ต่อมาเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากเสด็จไปโปรดพุทธมารดาจนครบ 1 พรรษา (3 เดือน) เมื่อกลับสู่โลกมนุษย์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เหล่าบรรดาพญานาคี นาคเทวี พร้อมทั้งเหล่าบริวารจึงจัดทำเครื่องบูชา และพ่นบั้งไฟถวาย ซึ่งต่อมาชาวบ้านเรียกว่าบั้งไฟพญานาคนั่นเอง

เรื่องเล่าที่สือบต่อกันมา ของพญานาคลำแม่น้ำโขง
แม่น้ำโขงเองก็มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับพญานาคเช่นกัน ซึ่งเป็นความเชื่อโบราณที่เล่าสืบต่อกันมาของชาวไทยที่อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง และคนลาวแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวด้วย ว่าแม่น้ำโขงนั้นเกิดจากการเดินทางของนาคตนหนึ่งชื่อว่า ปู่เจ้าศรีสุทโธ นาคตนนี้เมื่อเลื้อยไปเจอภูผาหรือก้อนหินก็เลี้ยวหลบ ผิดกับนาคตนอื่นๆ ที่จะเลื้อยผ่าตรงไปเลย เส้นทางการเดินของเจ้าศรีสุทโธจึงมีลักษณะคดเคี้ยวไปมา เรียกกันว่า ลำน้ำคด หรือลำน้ำโค้ง แล้วต่อมาจึงเพี้ยนเป็น ลำน้ำโขง ไปในที่สุด
คำอธิบาย บั้งไฟพญานาค ในเชิงวิทยาศาสตร์
งานวิจัยวิทยาศาสตร์ของไทยหลายฉบับสรุปว่า บั้งไฟพญานาค คือก๊าซมีเทน-ไนโตรเจนเกิดจากแบคทีเรียที่ความลึก 4.55–13.40 เมตร อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ปริมาณออกซิเจนน้อย ในวันที่เกิดปรากฏการณ์มีแดดส่องช่วงประมาณ 10, 13 และ 16 นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า 26 องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอย่อยสลายสารอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมัก 3–4 ชั่วโมง มากพอให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำ ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำบางส่วนจะฟุ้งกระจายออกไป ส่วนแกนในของก๊าซขนาดเท่าหัวแม่มือจะพุ่งขึ้นสูงกระทบกับออกซิเจน รวมกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงยามกลางคืนทำให้เกิดการสันดาปอย่างรวดเร็วจนติดไฟได้
ในปีนี้ 2564 บั้งไฟพญานาคถูกพูดถึงที่มาของปรากฏการณ์อีกครั้ง โดยพิสูจน์บั้งไฟพญานาค ได้นำหลักฐานรายชื่อหมู่บ้าน ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่บันทึกการเกิดบั้งไฟพญานาค ยื่นให้สถานเอกอัครราชทูตลาว สืบหาความจริงกรณีการเกิดบั้งไฟพญานาค เป็นการยิงกระสุนแสงจากหมู่บ้านฝั่งลาว สร้างความเข้าใจผิดให้กับคนไทยมานานหลายสิบปี
“พิสูจน์บั้งไฟพญานาค”
นายสมภพบอกกับบีบีซีไทยว่าการเปิดเผยรายชื่อ 10 หมู่บ้านฝั่งลาวที่เขาเชื่อว่าเป็นจุดที่มีการยิงลูกปืนส่องแสงเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจในโอกาสครบรอบ 10 ปีเต็มที่เขาพิสูจน์และเก็บข้อมูลเพื่อพิสูจน์สมมติฐานที่ว่าลูกไฟเหนือแม่น้ำโขงในคืนวันออกพรรษานั้นเป็นฝีมือมนุษย์
เขาเล่าว่าตัวเองเป็นคนสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และชอบพิสูจน์เรื่องลี้ลับอยู่แล้ว แต่บั้งไฟพญานาคนับเป็นงานหลัก เพราะเขาใช้เวลาเป็นการพิสูจน์ที่ยาวนานถึง 10 ปี นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินทางไปเห็นลูกไฟลอยขึ้นมาเหนือแม่น้ำโขงด้วยตาตัวเองเมื่อปี 2554
“ผมเดินทางไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอได้เห็นและถ่ายรูปมาดูอย่างละเอียดก็เชื่อว่าเป็นแสงไฟที่เกิดจากการยิงลูกปืนส่องแสงทั้งหมด หลังจากนั้นทุก ๆ คืนวันออกพรรษาก็จะเดินทางไป จ.หนองคาย และ จ.บึงกาฬ เพื่อเก็บภาพมาพิสูจน์ บันทึกตำแหน่งที่เห็นลูกไฟจากฝั่งลาว แล้วก็ไปค้นหาชื่อหมู่บ้านมาจดบันทึกไว้”
นายสมภพบอกว่าเมื่อทฤษฎีของเขามีคนสนับสนุนมากขึ้น ก็เริ่มมีทีมงานมาร่วมเก็บข้อมูลเชิงลึก มีอาสาสมัครบางคนเดินทางลงพื้นที่หมู่บ้านเหล่านั้นในฝั่งลาว บางคนเคยไปสอบถามเจ้าหน้าที่ลาวที่ดูแลหมู่บ้าน สัมภาษณ์คนลาวในหมู่บ้านต่าง ๆ ริมแม่น้ำโขงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการยิงปืนในคืนวันออกพรรษา
ทั้งภาพและข้อมูลจากการลงพื้นที่ทำให้สมภพมั่นใจในทฤษฎี “บั้งไฟพญานาคคือลูกไฟจากการยิงปืนส่องแสงในฝั่งลาว” มากขึ้นเรื่อย ๆ จนนำมาสู่การยื่นเรื่องต่อทางการลาวหลังออกพรรษาปีนี้
“อยากให้ทางการลาวตรวจสอบหมู่บ้านทางลาวหน่อยว่ายิงลูกปืนส่องแสงในคืนวันออกพรรษาจริงหรือเปล่า ยิงเพื่ออะไร ได้เงินทุนจากไหน และผิดกฎหมายลาวมั้ย…ส่วนทางการไทย เห็นว่าเจ้าหน้าที่ในหนองคายและบึงกาฬก็มีการติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ฝั่งลาวอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ก็อยากให้ช่วยตรวจสอบด้วยอีกทางหนึ่ง” นายสมภพกล่าว
นายสมภพบอกว่าหลักฐานที่นำมาสู่การระบุชื่อทั้ง 10 หมู่บ้านว่าเป็นตำแหน่งที่มีการยิงปืนในคืนวันออกพรรษา มาจากภาพถ่ายทั้งภาคพื้นในฝั่งไทย ภาพมุมสูงจากโดรน และการเดินทางลงพื้นที่ในฝั่งลาวซึ่งเขาอ้างว่ามีคนที่สามารถถ่ายภาพคนที่กำลังยิงลูกปืนส่องแสงในระยะใกล้ได้
“ผมต้องการให้ความจริงปรากฏเท่านั้น แค่หวังให้สังคมได้รู้ความจริง ส่วนใครจะยังคงไปดูบั้งไฟพญานาคหรือจะมีความเชื่ออย่างไรก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล แล้วผมก็ยอมรับความเห็นต่างมาตลอด”
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ไทยลาวที่อาจได้รับผลกระทบจากการกล่าวหาและเคลื่อนไหวเพื่อหาความจริงของเขานั้น สมภพตอบเพียงว่าเรื่องนี้ “เป็นความจริงที่ต้องเปิดเผย” และเมื่อความจริงปรากฏแล้วความสัมพันธ์ก็จะกลับมาเหมือนเดิม และการหาความจริงร่วมกันน่าจะดีต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมากกว่า
เครดิต : themysteriousth.com
ติดตามข่าวสาร : เรื่องลี้ลับ เรื่องหลอน